แผ่นเหล็ก ที่ใช้ในงานอุตสาหกรรมมีความหลากหลาย ซึ่งบริษัทผู้ผลิตแต่ล่ะแห่งพยายามที่จะผลิตเหล็กให้มีคุณภาพต่างๆกัน ผู้ใช้สินค้าได้เลือกใช้เหล็กแผ่นให้ตรงกับลักษณะงานของตน ดังนั้นทั้งผู้ผลิตและผู้ใช้จำเป็นต้องตกลงทำความเข้าใจร่วมกันเพื่อเหล็กที่ผลิตออกมานั้นจะด้นำไปใช้งานได้จริงตรงกับความต้องการจึงได้มีการกำหนดชนิดละปริมาณของสารต่างๆที่ประสมในเหล็กเหล็กร่วมกันเป็นมาตรฐานของเหล็กในอุตสาหกรรมขึ้น ซึ่งในปัจจุบันมีมาตรฐาน เหล็กแผ่น ที่นิยมนำมาใช้งานกัน มี 5 มาตรฐาน คือ
AISI ( American Iron and Steel Institute )
AISI ซื่งเป็นมาตรฐาน เหล็กแผ่น ของประเภทอเมริกา จะมีตัวอักษรนำหน้าตัวเลข ซึ่งตัวอักษรนี้จะ บอกถึงกรรมวิธีการผลิตเหล็กว่าได้ผลิตมาจากเตาชนิดใด ตัวอักษรที่บอกกรรมวิธีการผลิตเหล็กจะมีดังนี้
- A คือ เหล็กประสมที่ผลิตจากเตาเบสเซมเมอร์ ( Bessemer ) ชนิดที่เป็นด่าง
- B คือ เหล็กประสมที่ผลิตจากเตาเบสเซมเมอร์ ( Bessemer ) ชนิดที่เป็นกรด
- C คือ เหล็กที่ผลิตจากเตาโอเพ็นฮารท์ ( Open Hearth ) ชนิดที่เป็นด่าง
- D คือ เหล็กที่ผลิตจากเตาโอเพ็นฮารท์ ( Open Hearth ) ชนิดที่เป็นกรด
- E คือ เหล็กที่ผลิตจากเตาไฟฟ้า
จำหน่ายเหล็กแผ่นดำ SS400 เหล็กลายกันลื่นเหล็กรูปพรรณ แผ่นเพลท ลอนคอนเทนเนอร์
รับตัดเหล็ก รับพับเหล็ก เจาะรูตามแบบผลิตเจโบลท์ แอลโบลท์ และอื่นๆ
DIN (Deutsch Institute Norms)
การจำแนกประเภทของ เหล็กแผ่น ตามมาตรฐานเยอรมันจะแบ่งเหล็กออกเป็น 5 ประเภทดังนี้
- เหล็กกล้าคาร์บอน(หรือเหล็กไม่ประสม)
- เหล็กกล้าผสมต่ำ
- เหล็กกล้าผสมสูง
- เหล็กหล่อ
- เหล็กกล้าคาร์บอน (หรือเหล็กไม่ประสม)
เหล็กที่นำไปใช้งานได้เลยโดยไม่ต้องผ่านกรรมวิธีปรับปรุงคุณสมบัติโดยใช้ ความร้อน (Heat Treatment) เหล็กพวกนี้จะบอกย่อคำหน้าว่า St.และจะมีตัวเลขตามหลัง ซึ่งจะบอกถึงความสามารถที่จะทนแรงดึงสูงสุดของเหล็กชนิดนั้น มีหน่วยเป็น ก.ก/มม.2
หมายเหตุ การกำหนดมาตรฐานทั้งสองนี้ เหล็กที่มีความเค้นแรงดึงสูงสุดประมาณ 37 ก.ก/มม.2 จะสามารถใช้สัญลักษณ์แทนเหล็กชนิดนี้ได้ 2 ลักษณะ คือ เขียนเป็น St. หรือ C20
การกำหนดมาตรฐานเหล่านี้จะเห็นมากในแบบสั่งงาน ชิ้นส่วนบางชนิดต้องนำไปชุบแข็งก่อนใช้งาน ก็จะกำหนดวัสดุเป็น C นำหน้า ส่วนชิ้นงานที่ไม่ต้องนำไปชุบแข็ง ซึ่งนำไปใช้งานได้เลยจะกำหนดวัสดุเป็นตัว St. นำหน้า ทั้ง ๆ ที่วัสดุงานทั้งสองชิ้นนี้ใช้วัสดุอย่างเดียวกันเหล็กกล้าผสมต่ำ การกำหนด มาตรฐานเหล็กประเภทนี้จะบอกจำนวนคาร์บอนไว้ข้างหน้าเสมอ แต่ไม่นิยมเขียนตัว C กำกับไว้ ตัวถัดมาจะเป็นชนิดของโลหะที่เข้าไปประสม ซึ่งอาจมีชนิดเดียวหรือหลายชนิดก็ได้
ข้อสังเกต เหล็กกล้าประสมต่ำตัวเลขที่บอกปริมาณของโลหะประสมจะไม่ใช่จำนวนเปอร์เซ็นต์ ที่แท้จริงของโลหะประสมนั้นการที่จะทราบจำนวนเปอร์เซ็นต์ที่แท้จริงจะต้อง เอาแฟกเตอร์ (Factor) ของโลหะประสมแต่ละชนิดไปหารซึ่งค่าแฟกเตอร์ (Factor) ของโลหะประสมต่าง ๆ มีดังนี้
- หารด้วย 4 ได้แก่ Co, Cr, Mn, Ni, Si, W
- หารด้วย 10 ได้แก่ Al, Cu, Mo, Pb, Ti, V
- หารด้วย 100 ได้แก่ C, N, P, S
- ไม่ต้องหาร ได้แก่ Zn, Sn, Mg, Fe
การใช้สัญลักษณ์ดังตัวอย่างที่แล้ว เป็นการบอกส่วนผสมในทางเคมี แต่ในบางครั้งจะมีการเขียนสัญลักษณ์บอกกรรมวิธีการผลิตไว้ข้างหน้าอีกด้วย เช่น
- B = ผลิตจากเตาเบสเซมเมอร์
- E = ผลิตจากเตาไฟฟ้าทั่วไป
- F = ผลิตจากเตาน้ำมัน
- I = ผลิตจากเตาไฟฟ้าชนิดเตาเหนี่ยวนำ (Induction Furnace)
- LE = ผลิตจากเตาไฟฟ้าชนิดอาร์ค (Electric Arc Furnace)
- M = ผลิตจากเตาซีเมนต์มาร์ติน หรือ เตาพุดเดิล
- T = ผลิตจากเตาโทมัส
- TI = ผลิตโดยกรรมวิธี (Crucible Cast Steel)
- W = เผาด้วยอากาศบริสุทธิ์
- U = เหล็กที่ไม่ได้ผ่านการกำจัดออกซิเจน (Unkilled Steel)
- R = เหล็กที่ผ่านการกำจัดออกซิเจน (Killed Steel)
- RR = เหล็กที่ผ่านการกำจัดออกซิเจน 2 ครั้ง
นอกจากนี้ยังมี สัญลักษณ์แสดงคุณสมบัติพิเศษของเหล็กนั้นอีกด้วย เช่น
- A = ทนต่อการกัดกร่อน
- Q = ตีขึ้นรูปง่าย
- X = ประสมสูง
- Z = รีดได้ง่าย
JIS (Japaness Industrial Standards)
การจำแนกประเภทของ แผ่นเหล็ก ตามมาตรฐานญี่ปุ่นซึ่งจัดวางระบบโดยสำนักงานมาตรฐาน อุตสาหกรรมญี่ปุ่น (Japaness Industrial Standards, JIS) จะแบ่งเหล็กแผ่นตามลักษณะงานที่ใช้
ตัวอักษรชุดแรก จะมีคำว่า JIS หมายถึง Japaness Industrial Standards ตัวอักษรสัญลักษณ์ตัวถัดมาจะมีได้หลายตัวแต่ละตัวหมายถึงการจัดกลุ่ม ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต่างๆ เช่น
- A งานวิศวกรรมก่อสร้างและงานสถาปัตย์
- B งานวิศวกรรมเครื่องกล
- C งานวิศวกรรมไฟฟ้า
- D งานวิศวกรรมรถยนต์
- E งานวิศวกรรมรถไฟ
- F งานก่อสร้างเรือ
- G โลหะประเภทเหล็กและโลหะวิทยา
- H โลหะที่มิใช่เหล็ก
- K งานวิศวกรรมเคมี
- L งานวิศวกรรมสิ่งทอ
- M แร่
- P กระดาษและเยื่อกระดาษ
- R เซรามิค
- S สินค้าที่ใช้ภายในบ้าน
- T ยา
- W การบิน
ถัดจากตัวอักษรจะเป็นตัวเลขซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 4 ตัว มีความหมายดังนี้ตัวเลขตัวแรก หมายถึง กลุ่มประเภทของเหล็ก เช่น
- 0 เรื่องทั่ว ๆ ไป การทดสอบและกฎต่าง ๆ
- 1 วิธีวิเคราะห์
- 2 วัตถุดิบ เหล็บดิบ ธาตุประสม
- 3 เหล็กคาร์บอน
- 4 เหล็กกล้าประสม
ลตัวเลขตัวที่ 2 จะเป็นตัวแยกประเภทของวัสดุในกลุ่มนั้น เช่น ถ้าเป็นในกรณีเหล็ก จะมีดังนี้
- 1 เหล็กกล้าประสมนิเกิลและโครเมียม
- 2 เหล็กกล้าประสมอลูมิเนียมแลโครเมียม
- 3 เหล็กไร้สนิม
- 4 เหล็กเครื่องมือ
- 8 เหล็กสปริง
- 9 เหล็กกล้าทนการกัดกร่อนและความร้อน
ตัวเลขที่เหลือ 2 หลักสุดท้ายจะเป็นตัวแยกชนิดของส่วนผสมที่มีอยู่ในวัสดุนั้น เช่น ถ้าเป็นเหล็กตัวเลข 2 หลักสุดท้ายจะเป็นตัวแยกชนิดเหล็กตาม ส่วนผสมธาตุที่มีอยู่ในเหล็กชนิดนั้น ๆ เช่น
- 01 เหล็กเครื่องมือ คาร์บอน
- 03 เหล็กไฮสปีด
- 04 เหล็กเครื่องมือประสม
ASTM
ที่ผ่านการรับรองของสมาคมฯ และประกาศใช้เป็นมาตรฐาน แบ่งเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้
- Classification เป็นมาตรฐานของ ระบบการจัดการ และการจัดแบ่ง วัสดุผลิตภัณฑ์ การบริการ ระบบ หรือการใช้งาน ออกเป็นกลุ่มๆ โดยอาศัยคุณลักษณะ ที่เหมือนกัน เช่น แหล่งกำเนิด ส่วนประกอบ คุณสมบัติหรือประโยชน์ใช้สอย
- Specification เป็นข้อกำหนดที่ระบุแน่นอน ถึงคุณลักษณะและสมบัติต่างๆ ที่ต้องการของวัสดุ ผลิตภัณฑ์ ระบบหรือการใช้งาน ข้อกำหนดเหล่านี้ มักจะแสดงค่าเป็นตัวเลข และมีข้อจำกัดกำหนดไว้ พร้อมทั้งวิธีหาค่าเหล่านั้นด้วย
- Terminology เป็นเอกสารมาตรฐาน ที่กำหนดคำนิยาม คุณลักษณะ คำอธิบายของศัพท์ต่างๆ เครื่องหมาย ตัวย่อ คำย่อที่ใช้ในมาตรฐานต่างๆ
- Test method เป็นมาตรฐานเกี่ยวกับกรรมวิธี ที่กำหนดให้ใช้ในการตรวจสอบ พิสูจน์วัด และปริมาณคุณภาพ คุณลักษณะ คุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างของวัสดุ ระบบหรือ การใช้งาน ซึ่งมีผลการทดสอบ ที่สามารถนำไปใช้ ในการประเมินค่าตามข้อกำหนด
- Guide เป็นคำแนะนำ หรือทางเลือก ให้ผู้ใช้เลือกใช้เทคนิคต่างๆ ที่มีอยู่ รวมทั้งสิ่ง ที่จะได้จากการประเมิน และการมาตรฐานที่ใช้นั้นๆด้วย
- Practice เป็นวิธีการปฏิบัติเฉพาะ สำหรับงานเฉพาะอย่าง ได้แก่ การเขียนรายงาน การสุ่มตัวอย่าง ความแม่นยำ ความละเอียด การเลือก การเตรียม การประยุกต์ การตรวจสอบ ข้อควรระวังในการใช้ การกำจัดทิ้ง การติดตั้ง การบำรุงรักษา ตลอดจนการใช้เครื่องมือทดสอบ
นอกจากนี้ ASTM มีการจัดแบ่งมาตรฐานออกเป็นกลุ่มๆ เฉพาะเรื่อง โดยใช้ตัวอักษร เป็นสัญลักษณ์แทนกลุ่มของเนื้อเรื่อง เรียงตามลำดับดังนี้
- A : Ferrous Metals
- B : Nonferrous Metals
- C : Cementitious, Ceramic, Concrete, and Masonry Meterials
- D : Miscellaneous Materials
- E : Miscellaneous Subjects
- F : Materials for Specific Applications
- G : Corrosion, Deterioration, and Degradation of Materials
TIS
เป็นคำย่อมาจาก”มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม” หมายถึงข้อกำหนดทางวิชาการที่ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.)ได้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นแนวทางแก่ ผู้ผลิตในการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพในระดับที่เหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุด โดยจัดทำออกมาเป็นเอกสารและจัดพิมพ์เป็นเล่ม
ภาย ในมอก.แต่ละเล่มประกอบด้วยเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการผลิตผลิตภัณฑ์นั้นๆ เช่น เกณฑ์ทางเทคนิค คุณสมบัติที่สำคัญ ประสิทธิภาพของการนำไปใช้งาน คุณภาพของวัตถุที่นำมาผลิต และวิธีการทดสอบเป็นต้น